แอลจีคว้าโตโยต้าเป็นลูกค้าโรงงานแบตเตอรี่
เจเนอรัลมอเตอร์สขายหุ้นทั้งหมดในโรงงานผลิตแบตเตอรี่ให้แอลจี ปูทางโตโยต้าผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอเมริกาเหนือ
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้ากำลังเกิดขึ้น เมื่อเจเนอรัลมอเตอร์ส (GM) ได้ขายหุ้นทั้งหมดในโรงงานผลิตแบตเตอรี่ที่แลนซิง รัฐมิชิแกน ให้กับแอลจี เอนเนอร์จี โซลูชั่น (LG Energy Solution) ซึ่งเดิมเป็นพันธมิตรร่วมทุนในโรงงานแห่งนี้ การเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้โตโยต้ากลายเป็นลูกค้ารายใหญ่รายใหม่ของโรงงาน โดยแหล่งข่าวระบุว่าแบตเตอรี่ที่ผลิตจากโรงงานนี้จะถูกนำไปใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าของโตโยต้าที่วางจำหน่ายในอเมริกาเหนือ
เดิมทีโรงงานแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นภายใต้ชื่อ Ultium Cells LLC ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง GM และ LG โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตแบตเตอรี่แบบ Ultium ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขั้นสูงที่ GM พัฒนาขึ้นสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าของตนเอง การที่ GM ตัดสินใจขายหุ้นทั้งหมดให้กับ LG แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ แต่ก็สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ของ GM และเปิดโอกาสให้ LG ขยายฐานลูกค้าและเสริมสร้างความแข็งแกร่งในตลาดแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า
สำหรับโตโยต้า การเลือกใช้แบตเตอรี่จาก LG ถือเป็นการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ เนื่องจากโตโยต้ากำลังเร่งขยายตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในอเมริกาเหนือ การร่วมมือกับ LG ซึ่งเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ชั้นนำระดับโลก จะช่วยให้โตโยต้าสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีแบตเตอรี่คุณภาพสูง ลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาด นอกจากนี้ การผลิตแบตเตอรี่ในอเมริกาเหนือยังช่วยลดความเสี่ยงจากปัญหาห่วงโซ่อุปทาน และตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
การที่โตโยต้าเลือกใช้แบตเตอรี่จาก LG ยังสะท้อนถึงความต้องการแบตเตอรี่คุณภาพสูงที่กำลังเติบโตในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ผู้ผลิตรถยนต์ต่างตระหนักถึงความสำคัญของแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และอายุการใช้งานที่ยาวนาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสบการณ์การขับขี่และความเชื่อมั่นของผู้บริโภค การแข่งขันที่รุนแรงระหว่างผู้ผลิตแบตเตอรี่จึงเป็นผลดีต่อผู้บริโภค เนื่องจากจะนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงราคาที่ถูกลงในอนาคต
การลงทุนของ LG ในโรงงานผลิตแบตเตอรี่ที่แลนซิง ย้ำถึงความเชื่อมั่นในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอเมริกาเหนือและความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ LG มีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตของโรงงาน เพื่อรองรับความต้องการแบตเตอรี่ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต การลงทุนดังกล่าว ไม่เพียงแต่จะสร้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น แต่ยังส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในอเมริกาเหนือโดยรวม
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า และการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่างผู้ผลิต การร่วมมือและการแข่งขันระหว่างบริษัทต่างๆ จะช่วยผลักดันนวัตกรรมและการพัฒนาเทคโนโลยี นำไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ ราคาที่จับต้องได้ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ในอนาคต ผู้บริโภคจะมีทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้น และสามารถเข้าถึงเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น
ที่มา: https://www.instagram.com/p/DMB1zLnx–F/